ธนาคารที่รับไถ่ถอน ขายฝาก

ธนาคารที่รับไถ่ถอน ขายฝาก

ธนาคารที่รับไถ่ถอน ขายฝาก แนวทางการขายฝากก็เลยเป็นหนทางให้กลุ่มนักลงทุนหรือเจ้าหนี้ธุรกิจเงินนอกระบบอาศัยความไม่รู้ข้อบังคับของลูกหนี้ หาวิธีการเลี่ยงหรือหนีหน้าไม่ให้ลูกหนี้มีโอกาสไถ่ทรัพย์คืนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพื่อจะได้ชุบมือเปิบให้ลูกหนี้ไม่มีช่องทางได้มาไถ่ถอนทรัพย์สินที่ขายฝาก โดยเฉพาะ หากทรัพย์สมบัตินั้นเป็นที่ดินหรือบ้านที่อยู่ในทำเลดี และมีมูลค่ามากยิ่งกว่ายอดหนี้สินที่ให้กู้ถ้าเผชิญนายทุนที่มีความประพฤติดังที่กล่าวถึงแล้ว ก่อนที่จะครบกำหนดไถ่ทรัพย์ดังที่ระบุในคำสัญญา ให้ลูกหนี้นำคำสัญญาพร้อมสินไถ่ไปวางสมบัติพัสถาน

ธนาคารที่รับไถ่ถอน ขายฝาก

ณ สำนักงานบังคับคดีจังหวัด โดยเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการปฏิบัติงานราวๆ 300-700 บาท (เมื่อเจ้าหนี้มารับเงิน จึงควรรับภาระรายจ่ายนั้น รวมทั้งคืนเงินค่าใช้สอยดังกล่าวข้างต้นแก่ลูกหนี้) เมื่อดำเนินการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว กรรมสิทธิ์ในบ้านหรือที่ดินจะเป็นของลูกหนี้ผู้ขายฝากทันที

เพราะเหตุว่าพนักงานคนรับการวางสินทรัพย์จะออกหลักฐานการวางทรัพย์ พร้อมติดต่อเจ้าหนี้ให้ไปรับเงินที่สำนักงานบังคับคดีรวมทั้งคืนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ลูกหนี้ แล้วหลังจากนั้นให้ลูกหนี้นำหลักฐานการวางสมบัติพัสถานพร้อมหนังสือแสดงสิทธิ

ในที่ดินไปขอลงบัญชีไถ่ถอนจากแนวทางการขายฝากที่ที่ทำการที่ดิน กรณีที่วางทรัพย์สมบัติแล้ว แต่ยังไม่ได้หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินคืน ให้ลูกหนี้นำหลักฐานการวางสมบัติพัสถานแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบทันทีทันใดเพื่อลงบัญชีอายัดในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับของที่ทำการที่ดิน

เป็นการคุ้มครองไม่ให้เจ้าหนี้กระทำลงทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ถัดไป โดยเหตุนี้ หากจำเป็นจะต้องเลือกใช้บริการธุรกิจเงินกู้ยืมนอกระบบโดยมีที่ดินหรือบ้านเป็นหลักประกัน ก็ขอให้พินิจให้ดีๆก่อนที่จะคิดที่จะตัดสินใจกู้หนี้ยืมสิน โดยเฉพาะแนวทางการขายฝาก

เนื่องจากว่าถ้าเกิดไม่อาจจะชำระหนี้คืนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ อาจจำต้องสูญเสียที่ดินหรือบ้านไปโดยไม่รู้ตัวได้ กรณีมีคำถามอยากได้ถามข้อมูลหรือร้องทุกข์ด้านการเงิน สามารถติดต่อได้ที่

1)ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ โทร 1359 หรือส่งจดหมายมาถึงที่กะไว้ ตู้ เปรียญณ. 1359 ปณจ.บางรัก จังหวัดกรุงเทพ 10500

2) ศูนย์คุ้มครองปกป้องผู้ใช้บริการด้านการเงิน (ศอาจจะ.) ธนาคารแห่งประเทศไทย สายด่วน ศอาจจะ. 1213 (สิบสองสิบสาม)บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยภาพอธิบายจากอินเตอร์เน็ตไม่เกี่ยวข้องกับบทความอะไรก็ตามทั้งนั้น

การจำนำเป็นอย่างไรและก็มีหลักเกณฑ์อย่างไรจำนองเป็นอย่างไรการจำนำหมายถึงการประกันการชำระหนี้ ด้วยทรัพย์สิน โดยผู้จำนอง ตกลงเอาสินทรัพย์ของตนเอง เรียกว่าทรัพย์สินจำนำ ให้ไว้แก่เจ้าหนี้คำสัญญาประธาน (ผู้รับจำนำ)

เพื่อเป็นการประกันจ่ายและชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งสมบัติพัสถานจำนำให้แก่ผู้รับจำนอง โดยผู้จำนองจะเป็นลูกหนี้ผู้รับจำนองหรือเป็นบุคคลอื่นที่มิได้เป็นลูกหนี้(บุคคลภายนอก)ก็ได้ ตัวอย่างที่มองเห็นโดยปกติสำหรับในการจำนอง ก็คือ การทำสัญญากู้ยืมจากแบงค์เพื่อซื้อบ้าน

แบงค์ให้เรากู้หนี้ยืมสินซื้อบ้านโดยแบงค์ก็รับจำนำบ้านของพวกเราไว้เป็นประกันคำสัญญากู้ยืมเงินไว้หลักเกณฑ์สำคัญของคำสัญญาจำนอง

1. ผู้จำนองควรเป็นผู้ครอบครองสินทรัพย์ที่จำนอง

2. คำสัญญาจำนองเพื่อเป็นประกันการจ่ายชำระหนี้ประธานที่บริบูรณ์เพียงแค่นั้น

3. ทรัพย์สมบัติที่จำนองได้ มีดังนี้

3.1 อสังหาริมทรัพย์ ดังเช่น บ้าน ที่ดิน โรงงาน น.ส.3,น.ส.3ก,น.ส.3ข คอนโด (ที่ดินมีเพียงใบจอง หรือใบ ภทบ 5 หรือที่ดินที่ไม่มีเอกสารสำคัญแสดงสิทธินั้นยังนำมาจำนำไม่ได้

3.2 สังหาริมทรัพย์พิเศษ เช่น เรือระวางตั้งแต่ 5 ตัน ขึ้นไป แพ สัตว์พาหนะ

3.3 สังหาริมทรัพย์อื่นที่ข้อบังคับกำหนดให้จำนำได้เมื่อจดทะเบียน

3.4 เครื่องจักร เมื่อได้ขึ้นทะเบียนกรรมสิทธิ์ ตามกฎหมายขึ้นทะเบียนเครื่องจักร

3.5 รถยนต์ รถพ่วง รถบดถนน รถแทรคเตอร์ โดยชอบด้วยกฎหมายรถยนต์

4. คำสัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ หากไม่ประพฤติตามกฎหมายมีผลเป็นโมฆะ

อัตราค่าจ้าง รวมทั้งระยะเวลาสัญญาขายฝากอัตราค่าตอบแทนวิธีขายฝากกำหนดไว้ไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ 1.25% ต่อเดือน ดังที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งช่วงเวลาที่ให้ขายฝากนั้นทำได้ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือแล้วแต่ตกลงกันถ้าหากถึงกำหนดแล้วคนขายฝากยังไม่อาจจะไถ่ถอนได้

สามารถขยายช่วงเวลาได้แต่จะต้องไม่เกิน 10 ปีสถานที่ทำความตกลงขายฝากเป็นสำนักงานที่ดินในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ การทำสัญญาขายฝากจะไปทำที่สำนักงานที่ดิน เพื่อทำเป็นหนังสือและก็จดแจ้งต่อเจ้าหน้าที่การไถ่คืนถอนทรัพย์สมบัติในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์

เมื่อถึงกำหนดแล้วผู้ขายฝากสามารถนำเงินต้นพร้อมค่าแรงงานไปชำระซึ่งๆหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าของก็จะกลับไปเป็นของผู้ขายฝากในทันที โดยมีขั้นตอนดังนี้ให้ผู้ขายฝากแจ้งไปยังคนซื้อฝากล่วงหน้า 30 วัน เพื่อหมายกำหนดการนัดแนะไปสำนักงานที่ดินสิ่งที่ผู้ขายฝากจะต้องตระเตรียม

  • คู่สัญญาขายฝาก พร้อมบัตรประชาชน(ตัวจริง) และก็ใบสำมะโนครัว (ตัวจริง)
  • เงินต้นพร้อมเงินเดือน(สินไถ่) ถ้าหากชำระค่าจ้างครบแล้วให้นำไปเฉพาะเงินต้นพร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน (จ่ายเป็นเงินสดหรือพนักงานบัญชีเช็ค เท่านั้น)
  • ค่าธรรมเนียมไถ่คืนขายฝาก (บุคคลธรรมดา)

– ค่าธรรมเนียมแปลงละ 50 บาท

– ค่าภาษีหักในที่จ่าย
(คิดจากราคาประเมินราชการ นับช่วงเวลาตั้งแต่วันทำข้อตกลงขายฝากถึงวัน ไถ่ถอน)

– ค่าอากร 0.5% จากราคาประเมินหรือราคาไถ่คืนสิ่งที่คนรับซื้อฝากจะต้องตระเตรียม

  • คู่สัญญาขายฝาก พร้อมบัตรประชาชน(ตัวจริง) แล้วก็ทะเบียนบ้าน (ตัวจริง)
  • โฉนด(ตัวจริง)ข้อสรุปแล้วก็ข้อคิดเห็นกรณีขายฝากนั้น ตั้งเวลาไถ่คือเรื่องของขณะ

ตัวอย่างเช่น ขายฝาก มีกำหนด 2 ปี คนขายฝากจะไถ่คืนเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องคอยกระทั่งครบ 2 ปี แต่ว่าถ้าเกิดผู้ขายฝากไม่ใช้สิทธิไถ่สินทรัพย์ภายในกำหนดเวลา ย่อมหมดสิทธิไถ่เงินนั้นอีกต่อไป (เว้นแต่ว่าจะเป็นกรณีตกลงซื้อขายกันใหม่)

แล้วก็ส่งผลทำให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ซื้อฝากโดยเด็ดขาดการคำนวณช่วงเวลาว่า คำสัญญาขายฝากจะถึงกำหนดเมื่อใด ให้นับวันวันรุ่งขึ้นเป็นวันแรก กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากทำสัญญาขายฝากมีกำหนด 1 ปี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2560 ก็ต้องถึงกำหนด 1 ปี ในวันที่ 22 เดือนตุลาคม 2561

ข้อบังคับขายฝากที่ดินฉบับใหม่ เป็นกฎหมายมวลชน

ยาแรง แก้ความยากจนข้นแค้น เปิดศักราชใหม่ให้ชาวไร่ชาวนารวมทั้งชนชั้นกลางเข้าถึงแหล่งเงินกู้เอกชนหนทาง อันกว้างใหญ่ไพศาลที่มิใช่แบงค์ และก็กำจัดการเอารัดเอาเปรียบของเจ้าหนี้เงินกู้ยืม กฎหมายใหม่นี้ได้ผ่านขั้นตอนสุดท้ายในการบัญญัติกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วยความรวดเร็วทันเหตุการณ์ก่อนลงคะแนนเสียง

เป็นการลงความเห็นในวาระลำดับที่สาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 ภายหลังที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็จะเป็นกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ในทันทีทันใดความหอมหวานของขายฝากในสายตาเจ้าหนี้คนมั่งคั่งที่ดินชนบทรวมทั้งปริมณฑลกรุงเทวดา

ในปัจจุบันมีไม่น้อยที่ได้รับมรดกตกทอดหลายร้อยไร่ มาจากบิดามารดาปู่ย่าตายายที่รับซื้อฝากที่ดินมาจากเกษตรกรแล้วคิดดอกเบี้ยแพงๆนอกระบบรวมเข้าไปในสินไถ่ พอเพียงถึงเวลาจ่ายและชำระหนี้ หรือวันถึงกำหนดเวลาไถ่ที่ดินคืน กสิกร ชาวสวน เกษตรกร

จำนวนไม่ใช่น้อยขาดเงินพอที่จะเอามาไถ่ที่ดินคืนได้ ที่ดินที่ขายฝากจึงตกเป็นของผู้ให้กู้อย่างถาวรอัตโนมัติ นอกเหนือไปจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ชั่วครั้งคราวตั้งแต่วันขึ้นทะเบียนขายฝาก ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)และเจ้าหนี้หรือผู้รับซิ้อฝากที่ดิน

ไม่กลัวหนี้เสียเหมือนแบงค์ ด้วยเหตุว่าเจ้าหนี้โดยมากจะไม่สนใจใยดีกับการทวงหนี้สิน หรือหนี้เสีย เหมือนเจ้าหนี้นอกระบบ หรือในระบบโดยปกติ ด้วยเหตุว่าจุดหมายหลักของการให้กู้ประเภทขายฝากที่ดิน อยู่ที่การได้ครอบครองเจ้าของในที่ดิน ไม่ใช่การรับชำระหนี้คืนเป็นเงินสด

เนื่องมาจากราคาที่ขายฝากหมายถึงเงินกู้ เป็นจำนวนเงินน้อยมาก เพียง 30%-50% ของราคาประเมินที่ดินเมื่อเลยกำหนดไถ่แล้ว หากลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ก็จะได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถาวร นำไปขายต่อได้กำไรดีมากกว่าดอกเสียอีกรวมทั้งหากเป็นที่ดินที่อยู่ในทำเลดีได้โอกาสเจริญวัยได้มากในระยะยาว

เจ้าหนี้ก็จะเก็บไว้ให้ลูกหลาน ลูกหลานแบบใหม่ก็จะนำที่ดินไปให้ธุรกิจขายปลีกระหว่างประเทศเช่าต่อเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้รุ่นลูกหลานบางคน ได้เสวยสุขจากการเล็งเห็นการณ์ไกลของบรรพบุรุษ ไม่ต้องเลี้ยงชีพเป็นผู้รับจ้างเขา แต่ว่านั่งกินนอนกินเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับเช่าที่ดินเป็นรายได้เลี้ยงตัวเอง

เลี้ยงครอบครัวอย่างสบายไปตลอดชีพ ก็พอมีให้มองเห็นอยู่เป็นเรื่องปกติใครกันแน่ผู้ใดกันก็ประกอบธุรกิจขายฝากที่ดินได้เพราะธนาคารจะปล่อยกู้ให้เฉพาะกับบริษัทธุรกิจ หรือมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ประจำเป็นหลัก โดยรับจำนองที่ดินไว้เป็นประกันเงินกู้ เวลาลูกหนี้ผิดนัด

ธนาคารเจ้าหนี้ก็แสนตรากตรำที่จะจะต้องไปฟ้องคดีบังคับจำนำ แม้กระนั้นประชากรส่วนข้างมากเป็นเกษตรกรที่ใช้ที่ทำกิน แล้วก็คนชั้นกลางที่ทำมาหาเลี้ยงชีพมีธุรกิจขนาดเล็กโดยมีบ้านและก็ที่ดินไว้เป็นที่พักที่อาศัย ธนาคารไม่ยินยอมปลดปล่อยกู้ให้

เพราะเหตุว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจไม่สามารถใช้หนี้ใช้สินได้ พลเมือง ก็เลยต้องไปกู้กับเจ้าหนี้ทางเลือกที่ไม่ใช่ธนาคาร โดยถ้ากู้เป็นจำนวนเงินมากๆหลายแสนบาท ก็ชอบขายฝากที่ดินไว้เป็นหลักประกันภาครัฐจึงมิได้จำกัดสิทธิผู้ที่จะมาให้กู้โดยรับซื้อฝากที่ดินไว้เป็นประกันสินเชื่อ

นัยว่าเพื่อพลเมืองผู้มีรายได้น้อยมีทางเข้าถึงแหล่งเงินกู้ โดยภาครัฐไปควบคุมในประเด็นการบังคับใช้ข้อบังคับดอกเกินอัตรา และก็ออกกฎหมายขายฝากมาคุ้มครองปกป้องแทน ด้วยเหตุดังกล่าวบุคคลปกติหรือบริษัทนิติบุคคลรายใด ก็ประกอบธุรกิจรับซื้อฝากที่ดินได้ แม้แหล่งเงินที่นำมาปลดปล่อยกู้เป็นเงินของตนเอง มิได้ระดมเงินออมมาจากประชากรทั่วๆไป

ดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปีปกติหนี้นอกระบบหนี้สูญสูง ก็เลยจำเป็นต้องคิดดอกเบี้ยเงินกู้แพงๆหากไม่มีที่ดินมาเป็นประกัน ภาครัฐก็อนุญาตให้คิดดอกเบี้ยได้ถึง 36% ต่อปี แม้กระนั้นจำต้องมาขอเอกสารสิทธิ์ประกอบสินเชื่อรายย่อยจากกระทรวงการคลังก่อน

ต่างกับการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่ใช้ที่ดินมาขายฝากเป็นประกัน ไม่มีกฎหมายควบคุม ไม่ต้องขอใบอนุมัติ ทำเป็นเสรี มีแต่ข้อบังคับขายฝากฉบับใหม่เท่านั้น เป็นกรอบกำหนด โดยบอกว่าดอกสูงสุดควรต้องไม่เกิน ปีละ 15% เท่า เปรียญพ.พ. ซึ่งมองไม่สูงมากมาย

แม้กระนั้นยังกำไรดี สินเชื่อประเภทนี้ หนี้เสียไม่ใช่ปัจจัยสำคัญเจ้าหนี้คนรับซื้อฝากที่ดินไม่กลุ้มใจเรื่องหนี้เสีย หนี้เสียก็เสียไป เจ้าหนี้พอดีดินผืนงามราคาถูกมาเป็นกรรมสิทธิ์สมดั่งใจคิดเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน และดอก 15% ก็ยังถือว่าโชคดี แม้กระนั้น เจ้าหนี้จะแอบไปทำความตกลงต่างหาก

ให้ลูกหนี้เสียค่าธรรมเนียมโน่น เสียค่าใช้จ่ายนี่ เพื่อให้ดอกเบี้ยรวมกันแล้วเกิน 15% มิได้ จะก่อให้ดอกเบี้ยทั้งผองเป็นโมฆะในทันทีทันใด ไม่ใช่เป็นโมฆะเฉพาะส่วนที่เรียกเกินอัตราข้อบังคับขายฝากที่ดินฉบับใหม่นี้ เป็นข้อบังคับขายฝากโดยเฉพาะฉบับแรกในประวัติศาสตร์ข้อบังคับไทย

เดิมทีแนวทางการขายฝากที่ดินจะต้องใช้บทบัญญัติทั่วๆไปใน เปรียญพ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายกว้างๆไม่ได้มีบทบัญญัติเจาะจงเหมือนข้อบังคับขายฝาก และก็หลายเรื่องเปรียญพ.พ. ก็ไม่ได้บัญญัติไว้ อย่างเช่น ในระหว่างระยะเวลาขายฝาก ลูกหนี้ยังทำการเกษตรหรือใช้ที่ดินเป็นที่พักอาศัย

ต่อไปได้ไหม แล้วก็ถ้าเจ้าหนี้เอาที่ดินออกให้เช่า ค่าใช้จ่ายในการเช่าที่เจ้าหนี้ได้ จะนำมาลบจากสินไถ่ ได้ไหม ฯลฯ หลักสำคัญสุญญากาศพวกนี้ กฎหมายขายฝากฉบับใหม่กำหนดไว้ครบห้ามเจ้าหนี้เบี้ยว—ไม่รับจ่ายหนี้ชื่อเป็นทางการของข้อบังคับขายฝากที่ดินฉบับใหม่นี้เป็น

พ.ร.บ.ปกป้องพลเมืองในการทำความตกลงขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรบาปหรือที่พักอาศัยเพราะว่าความมีเสน่ห์ของแนวทางการขายฝากที่ดินแต่ว่าโบราณนานมาในสายตาของเจ้าหนี้ วิธีการ ขายฝาก ที่ดิน ก็คือตัวที่ดินเอง ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าหนี้บางคนทุจริตถึงกับปฏิบัติงานสุดขีดหลีกลี้หนีหน้าลูกหนี้ในวันถึงกำหนดไถ่

ไม่รับจ่ายหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ไถ่ที่ดินคืนมิได้ ซึ่งตาม กฎหมายเดิม ป.พ.พ. ที่ดินก็จะหลุดเป็นเจ้าของของเจ้าหนี้ในทันทีทันใดเมื่อพ้นกำหนดไถ่จริงอยู่ในกรณีนี้ เปรียญพ.พ. ก็ข้อกำหนดทางแก้ไขไว้ แบบลูกหนี้ชาวนาชาวไร่กระทำตามยาก คือ ให้ถือเว่าเจ้าหนี้ ผิดนัดใช้หนี้

ในทางแนวคิด ลูกหนี้แก้ได้โดยนำสินไถ่ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์สมบัติประจำจังหวัด ก็แก้ปัญหาได้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติในสมัยก่อนลูกหนี้ไม่เคยรู้ข้อบังคับเรื่องหนี้ ซึ่งแยกกันอยู่คนละบทกับกฎหมายเรื่องขายฝากใน เปรียญพ.พ. ลูกหนี้เลยเสียเจ้าของที่ดินให้เจ้าหนี้ไปอย่างไม่สมควรจะเสีย

หรือมิฉะนั้นลูกหนี้ก็จำเป็นต้องไปฟ้องร้องคดีฟ้องเจ้าหนี้ทวงเอาที่ดินคืนเป็นที่เดือดร้อน หากแม้เมื่อปี พุทธศักราช 2541 จะมีการแก้ป.พ.พ. ให้นำหัวข้อการวางทรัพย์สมบัติมาใส่รวมไว้ภายในส่วนเดียวกับแนวทางการขายฝาก แต่ว่าก็ยังจัดการกับปัญหานี้มิได้อย่างมีประสิทธิภาพประกอบกับเปรียญพ.พ.

เจาะจงเรื่องขายฝากไว้เพียงสั้นๆเพียง 12 มาตรา ไม่เพียงพอไขปัญหาเกษตรกร รวมทั้ง ผู้มีรายได้น้อยสูญเสียที่ดินทำมาหากินและที่พักอาศัยจึงควรมีข้อบังคับใหม่ออกมาช่วย และก็ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องร้องแบบกรุ๊ปกับเจ้าหนี้ได้ด้วย โดยให้จัดว่าคดีขายฝากที่ดินเป็นคดีผู้ใช้ ภาครัฐระดมพลังกันมาช่วยมวลชนรากหญ้าเต็มที่

กลับสู่หน้าหลัก