ดูหนัง ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ หนังชนโรง พากษ์ไทย ดูฟรีเต็มเรื่อง

ดูหนัง

ดูหนัง มาสเตอร์ ดูหนังHD ดูหนังใหม่

ดูหนัง โดยเรื่องย่อแล้วก็เทรลเลอร์ที่ถูกปลดปล่อยออกมา ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยแม่น้ำคงคาดหวังว่ามันต้องเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สุดระทึกตามสไตล์ถนัดของ สตีเฟน คิง แม้กระนั้นไม่เลยเนื่องจากหนังทั้งยังเรื่องที่ จอห์น ลี แฮนค็อก (John Lee Hancock) เป็นหนังที่ว่าด้วยการตามหาที่ยึดเหนี่ยวของเด็กมัธยมที่สูญเสียแม่ของเขาไปอย่างเคร็กและก็ได้คุณแฮริแกนคนรวยเฒ่าที่อาศัยให้เขาอ่านวรรณกรรมสุดคลาสสิกทั้งยัง ‘ ‘Lady Chatterlay’s Lover’ ‘Dombey and Son’ ‘Heart of Darkness’ ‘They Shoot Horses, Don’t They?’ ที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเคร็กรวมทั้งคุณแฮริแกนครั้งละนิดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวรรณกรรมเรื่องหลังสุดที่แทบเป็นการบอกใบ้ถึงเคราะห์กรรมของมิสเตอร์แฮริแกนอยู่เปลี่ยนๆ

แล้วก็อีกหัวข้อหนึ่งที่หนังใช้เป็นกลไกสำหรับการเล่าอย่าง iPhone ก็จะตามมาภายหลังหนังพ้นตอนองก์แรกที่เคร็กเติบโตรวมทั้งได้เรียนไฮสคูลต่างสถานที่เรียน รวมทั้ง iPhone ก็แปลงเป็นกระบวนการสื่อสารที่เขาใช้แทนคำกล่าวแต่ว่ายิ่งเขาไม่ค่อยพูดลงก็เริ่มรู้สึกได้ถึงภาวการณ์ไม่มีอิทธิพลโดยยิ่งไปกว่านั้นการจำเป็นต้องมาพบบูลลี่จากเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันนั่นเอง รวมทั้งยังย้ำสารที่ตรงนี้ด้วยคำกล่าวของคุณแฮริแกนอีกว่า สมาร์ตโฟนก็คือประตูสู่ยาเสพติดอื่นๆรวมทั้งยังเป็นท่อน้ำประปาที่ข่าวสารโดยยิ่งไปกว่านั้นเฟคนิวส์ที่จะไหลหลากถัดไปในอนาคต ซึ่งนี้จัดว่าความดีของนิยาย สตีเฟน คิง ได้ช่วยหนังมาถึง 50% แล้ว

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ไปบ้างแล้ว 20th Century Girl เป็นหนังที่มีพล็อตแสนเชย หนัง hd ดังนั่งย้อนดูหนังประเทศเกาหลีเมื่อเกือบจะ 20 ปีที่ผ่านมา แน่ๆว่ามันบางครั้งก็อาจจะเพราะเหตุว่าเป็นหนังย้อนยุค พร้อมทั้งใส่เสน่ห์ต่างๆในสมัยนั้นเข้ามเป็นกิมไม่กและก็ลูกเล่น เพียงแต่ว่ากิมไม่กอะไรพวกนี้เป็นสิ่งที่ผู้ชมมองเห็นกันบ่อยๆกระทั่งแทบบอบช้ำไปแล้ว ฉะนั้นมันก็ยังเป็นเสน่ห์ แต่ว่ามิได้รู้สึกว้าวและก็ละลานตาอะไรอีกแล้ว

ดูหนัง

รีวิว Old People

หญิงสาวพาลูกกลับมายังบ้านกำเนิดเพื่อสังสรรค์งานสมรสของน้องสาวตนเอง แม้กระนั้นพวกเขากลับตกอยู่กึ่งกลางวงล้อมของเหล่าคนชราที่บ้าคลั่ง เดิมดูตัวอย่างหนังคาดหมายว่ามันจะเป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาท ที่ออกไปทางหนังผีแบบ ‘The Taking of Deborah Logan’ (2014) ด้วยบรรยากาศของภาพผู้สูงอายุภายใต้แสงสว่างที่ผิดธรรมดาดูอย่างใจเย็นตรงมายัโลภล้อง แม้กระนั้นกันตามจริง ‘Old People’ หรือ ‘กำเนิด แก่ กัน ตาย’ เป็นหนังที่เข้าเกณฑ์เครือญาติหนังไล่เฉือนที่มีกลิ่นแบบหนังซอมบี้เสียมากกว่า

แต่เดิมดูตัวอย่างหนังคาดหมายว่ามันจะเป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาท ที่ออกไปทางหนังผีแบบ ‘The Taking of Deborah Logan’ (2014) ด้วยบรรยากาศของภาพผู้สูงวัยภายใต้แสงสว่างที่ผิดธรรมดาดูอย่างใจเย็นตรงมายัตระหนี่ล้อง แต่กันตามจริง ‘Old People’ หรือ ‘กำเนิด แก่ กัน ตาย’ เป็นหนังที่เข้าเกณฑ์เชื้อสายหนังไล่เฉือนที่มีกลิ่นแบบหนังซอมบี้เสียมากกว่า

ถึงกระนั้นเมื่อหนังจำต้องเข้าโหมดตื่นเต้นงานดูแลของแฮนค็อกกลับไม่ค่อยมีพลังซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เคร็กได้เจอความเป็นจริงจากอำนาจของโทรศัพท์มือถือคนเสียชีวิตที่เป็นจุดขายของหนังในศพแรก หนังก็เลือกจะทิ้งร่องรอยที่อุตส่าห์ไปพบซะซนๆแล้วก็เล่าต่อโดยทิ้งเงื่อนเดิมให้ค้างคาซะงั้น แถมยังไปเล่าโทนดราม่าอบอุ่นเสมือนหนังครึ่งแรกกระทั่งไม่ถูกที่ผิดทางไปหมดอย่างโชคร้าย มิหนำซ้ำเมื่อหนังจะแปรไปเป็นโทนที่ให้เคร็กดาร์กขึ้นก็มองรีบร้อนเล่ากระทั่งเหตุรวมทั้งผลมองตื้นไปเสียหมด

ลำดับการเล่าเรื่องก็ยังค่อนข้างจะเป็นสูตรสำเร็จ ตามมาตรฐานของหนังรักประเทศเกาหลีทำนองนี้ที่พวกเราต่างเคยเห็นกันมาก่อน ตอนครึ่งแรกชอบเป็นการร้อยเรียงเรื่องแบบปูทางเชื้อเชิญเพลิดเพลิน แม้กระนั้นเพียงพอตอนช่วงหลังจะใส่เงื่อนและก็ความดราม่าเข้ามา ก็ยังเป็นอีกสูตรเดิมๆของหนังประเทศเกาหลี ที่ชอบมองเห็นกันคุ้นไปแล้ว คำตอบที่ออกมาก็เลยแปลงเป็นเพียงแค่หนังที่ให้อารมณ์ที่เฉยๆเสียมากกว่า

จุดที่เพียงพอจะเป็นจุดเด่นและก็จำต้องสรรเสริญอาจหนีไม่พ้นการแสดงของ เจเดน มาร์เทลล์ ที่ซึ่งพูดได้ว่าสม่ำเสมอมากมายๆจากพ่อหนุ่มฝึกหัดเมทัลใน ‘Metal Lords’ หนังดนตรีสุดมันใน Netflix มาสู่เคร็ก พ่อหนุ่มหามมลทินใน ‘Mr. Harrigan’s Phone’ ได้อย่างดีเยี่ยมมั่นใจว่าอนาคตการแสดงไปได้อีกไกลแน่ๆจะมองเห็นได้ว่านักแสดงอย่างซาร่า เฟียรซ์เอง ได้เจอรักกับหญิงสาวในอาณานิคม

แต่ว่าความรู้สึกกลุ่มนี้เปลี่ยนเป็นของต้องห้ามเวลานี้ ประกอบกับแนวความคิดสังคมชายยิ่งใหญ่ในสังคม ความร้ายแรง ดูหนัง แล้วก็การจัดการปัญหาด้วยการ “ปิดปาก” ผู้ที่มองเห็นต่างด้วยการลงทัณฑ์ด้วยความตาย ก็เลยเปลี่ยนเป็นการบีบบังคับ เพศหญิงแล้วก็เพศช่องทางให้จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อแนวความคิดดังที่กล่าวถึงมาแล้ว โดยการเอาตำนานคำแช่งร้ายแล้วก็แม่มดมาเป็นเพียงแค่ข้อแก้ตัวสำหรับการกุมอำนาจ

ด้วยความอืดอาดแบบคนสูงวัย และก็ผิวหนังที่เป็นกระเหี่ยวย่นผมระเหระหน ฟันที่เหยเก น้ำลายเยิ้ม แล้วก็ดวงตาที่จ้องมองนิ่งขมึงตึง ซึ่งบางทีอาจรวมทั้งความประพฤติปฏิบัติพิลึกที่เหมือนผลจากโรคอย่างโรคสมองเสื่อมก็ทำให้รูปลักษณ์ของพวกผู้สูงวัยในเรื่องมองเป็นภูติผีได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้งบ่อยบรรยากาศแรงกดดันของพวกเขายังเป็นเหตุให้ระลึกถึงชำเลืองตาบอดใน ‘Don’t Breathe’ (2016) เสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะดูดิบกว่าและไม่ประดิษฐ์เท่า

ยังมีอีกสิ่งที่ค่อนข้างจะรู้สึกขัดใจนิดหนึ่ง กับแนวทางการย้อนภาพและก็แต่งแสงสว่างของหนังหัวข้อนี้ ที่ออกจะแต่งแสงสว่างได้จัดรวมทั้งแรงไม่ค่อยธรรมชาติไปสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่โล่งแจ้งต่างๆที่ย้อมภาพและก็แต่งแสงสว่างออกมาที่เกินจริง แสงสว่างแรงแทบมองไม่เห็นเครื่องหน้าของผู้แสดงกันอย่างยิ่งจริงๆ แต่ว่าก็ยังดีที่เป็นเพียงแต่ตอนแรกๆของหนังเพียงแค่นั้น เพราะเหตุว่าผ่านไปก็มีการปรับโทนแสงสว่างแล้วก็ภาพให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น

แต่ว่าโดยสรุปแล้วนั้น 20th Century Girl ก็นับได้ว่าเป็นหนังรักประเทศเกาหลีที่พอได้เพลิดเพลินๆด้วยเหตุว่าหนังเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จแบบซ้ำซากๆที่แทบจะกล่าวโทษแปลกใหม่อะไรไม่ค่อยได้นัก เค้าเรื่องค่อนข้างจะเชย กลับได้เสน่ห์และก็ความเป็นมือโปรของดาราที่ช่วยสนับสนุนทำให้หนังมองเอ็นหน้าจอยมากขึ้น รวมทั้งหนังยังแต่งแต้มใส่ศิลปินรับเชิญเข้ามาเป็นลูกเล่นให้เพลินใจก้าวหน้า ท้ายที่สุดก็เป็นหนังที่มิได้มีอะไรน่าประทับใจเท่าใด เป็นหนังที่มองได้ผ่านๆและไม่คิดที่จะถือมาดูซ้ำอีก

ซึ่งเพศผู้ดูแลเชื้อสายเยอรมัน-โรมาเนีย แอนดี้ เฟตเชอร์ (Andy Fetscher) ที่เคยส่งผลงานสายชั่วร้ายในประเทศตนเองก็จัดหนักในหนังเน็ตฟลิกซ์หัวข้อนี้ของเขา ทั้งยังฉากการฆ่าที่มองเห็นกันชัดชัด แล้วก็ถึงแม้บางครั้งบางคราวจะใช้มุมกล้องถ่ายภาพเข้าช่วยแต่ว่าในทางความร้ายแรงก็ยังเหลือเฟืออยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งแผลแต่งความระบมของเหยื่อที่ทำเอาขนลุกขนพองทีเดียว

ซึ่งน่าดึงดูดว่านอกจากแนวไล่เฉือน ผลงานก่อนหน้าของเขาในเยอรมันก็มีหนังที่เอ๋ยถึงหัวข้อด้านสังคม โดยยิ่งไปกว่านั้นฝูงชนรวมทั้งพื้นที่ริมอยู่ด้วย พวกเราก็เลยมองเห็นร่องรอยความนึกคิดที่เฟตเชอร์แทรกสอดในหัวข้อนี้ที่น่าดึงดูด ด้วยเนื้อความที่เอากันจะๆอย่าง “ควรเคารพนับถือคนชรา เนื่องจากพวกเขามีไม่น้อยเลยทีเดียว รวมทั้งวันหนึ่งเจ้าก็จะเปลี่ยนเป็นพวกเขา” ที่แสดงปัญหาช่องว่างระหว่างวัยที่คนวัยหนุ่มสาวละทิ้งผู้สูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างฉากที่พวกเขาเหม่อออกนอกหน้าต่างฟังเพลงจากงานสมรสที่ลอยมาไกลๆอย่างซึมเซานั้นช่างน่าสลดหดหู่เอามากๆ

เมื่อหนุ่มอย่างโซโลมอน กู๊ด (แอชเลย์ ซัคเกอร์แมน) ที่ดูอย่างกับว่าเป็นคนดี มีเหตุมีผลแล้วก็ฉลาดมากจริงๆยอมรับฟังข้อคิดเห็นของคนภายในอาณานิคม ตามที่จริงแล้วเขากลับคิดการณ์ใหญ่แล้วก็ใช้อิทธิพลมืดที่ไม่เห็นเพื่อโกยผลตอบแทนเข้าตัว รวมทั้งปัดความผิดไปให้แพะรับบาปอย่างซาร่า เฟียรซ์ (อลิซาเบธ สวัวเพล) รับเคราะห์บาปไปด้วยโทษแขวนคอ หากแม้ก่อนที่จะตายไป คุณกลับฝากคำบอกเล่าที่ว่า “ถึงแม้เรื่องจริงจะยังมิได้ปรากฏวันนี้ วันพรุ่ง แม้กระนั้นวันหนึ่งสิ่งที่คุณทำจะถูกชดใช้ความผิดอย่างแน่แท้”

รีวิวซีรีส์ The Midnight Club

เรื่องราวของวัยรุ่นผู้เจ็บป่วยระยะท้ายที่สุด 8 คน สมาชิกของสมาคมสยองขวัญเที่ยงคืน ในแต่ละคืนพวกเขาจะเปลี่ยนกันเล่าสยองขวัญ พร้อมทำข้อตกลงด้วยกันว่าแม้มีผู้ใดผู้หนึ่งในกรุ๊ปตาย คนๆนั้นจำต้องทำทุกวิธีเพื่อกลับมาบอกผู้ที่เหลือว่าโลกหลังความตายเป็นเยี่ยงไร ผลิตขึ้นจากหนังสือนวนิยายชื่อเดียวกันของ คริสโตเฟอร์ ไพก์ (Christopher Pike) ส่วนเวอร์ชันซีรีส์สร้างโดย ไมค์ ฟลานาแกน (Mike Flanagan) ร่วมกับ ลีอาห์ ฟง (Leah Fong)

ตลอดระยะเวลาพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้ทราบว่า ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นอยู่กับเมืองเซดี้ไซด์นั้นมีที่แม่จากแม่มดร้าย แม้กระนั้นเมื่อเรื่องจริงที่ปรากฏขึ้นกลายเป็นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดทั้งปวง ได้สืบต่ออำนาจมืดและก็อำพรางตัวเองภายใต้การเช็ดกนิยามว่าเป็นวีรบุรุษ ผู้กล้า ผู้รักษาสังคม กระทั่งมาถึงนายอำเภอ แล้วก็ครอบตนเองด้วยคำว่า “คนดี” มาหลายช่วง ทำให้ไม่มีคิด หรือจะสำรวจคนดีกลุ่มนี้ด้วยไปว่าตกลงแล้วเบื้องหลังเบื้องหน้าเบื้องหลังของพวกเขานั้นเริ่มมาจากการเยียดยัดข้อผิดพลาดให้ใครบางคนด้วยความตายพร้อมทั้งมลทินในลักษณะของเรื่องเล่า ตำนาน มาหลายช่วงใช้เวลากว่า 300 ปี

เป็นหนังเชื้อชาติประเทศสเปนที่มาแบบเฉยๆแม้กระนั้นก็สามารถสร้างความเซอร์ไพรส์ไม่ใช่น้อยกับผู้ชมจริงๆนี่เป็น “The Chalk Line ห้ามผ่านเส้น” หรือชื่อภาษาประเทศสเปนที่ว่า “Jaula” หนังแนวลึกลับปัญหาที่บอกเลยว่า หน้าหนังนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ตบหน้าผู้ชมได้อย่างคมคายสุดๆเพราะเหตุว่าเนื้อแท้ของหนังหัวข้อนี้ราวกับเป็นหนังอีกหัวข้อ ที่มีพร้อมทั้งจุดหักมุมรวมทั้งความอำมหิตที่สร้างความแปลกใจให้ผู้ชมได้แบบไม่ทันตั้งตัว

รวมทั้งนัยที่ผู้แสดงหัวหน้าทีมคนวัยชราที่บ้าซึ่งได้พูดว่าต้นสายปลายเหตุที่พวกเขายืนขึ้นไล่ฆ่าคนวัยหนุ่มวัยสาว ก็เพราะเหตุว่าการกระทำต่อคนชราที่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์รวมทั้งตัดทอนค่าความเป็นคน ตามที่พวกเราเคยได้เห็นข่าวสารว่าสถานที่ดูแลผู้สูงอายุบางที่ปฏิบัติกับพวกคนวัยแก่อย่างไม่ให้เกียรตินัก ดังเช่นว่าเอาสายยางฉีดล้างจ่ายตัว ฯลฯ

แต่ว่าถึงจะมีสิ่งจูงใจที่กระจ่างแจ้ง สิ่งหนึ่งที่หนังมิได้ให้คำตอบกับพวกเราเลยเป็น แล้วเพราะเหตุไรผู้สูงอายุทั้งหลายแหล่ถึงคลั่ง แถมมองโรคทางจิตและก็ทรงประสิทธิภาพขึ้น รวมทั้งบางครั้งบางคราวยังเสมือนติดต่อกันทางใจได้รับรู้เรื่องรู้ราวคิดของพรรคพวกในขณะที่มิได้คุยหรืออยู่ร่วมกันเลยก็ตาม ดูอย่างกับว่าผู้กำกับต้องการจะทิ้งปัญหากลุ่มนี้ให้เป็นเพียงแค่การเกิดที่ยากรู้เรื่อง หรือไม่ก็ปูทางไว้สำหรับเผื่อได้สร้างภาคต่อด้วย

สามภาค Fear Street ก็เลยไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญดาษดื่น แต่ว่ามีหลักสำคัญทางด้านสังคมซ่อนอยู่เสมอทุกภาคอย่างแนบเนียน กลมกลืน รวมทั้งนำพาผู้ชมย้อนกลับไปมองตัวปัญหาทั้งผองว่า “คำแช่ง” มันน่าสยองก็เนื่องจากมี “คน” ปรับปรุงความหวาดกลัวพวกนั้น ให้แปลงเป็นแนวความคิดที่ตกทอดกันมาโดยที่คนภายในสังคมดูดซับมันจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วนั่นเอง

แต่ว่าอีกสิ่งที่น่าดึงดูดเหมือนกันเป็น แม้ว่าจะมีความนัยที่กล่าวผ่านมุมมองของพวกผู้สูงวัยที่ต้องการลุกขึ้นยืนมาเอาคืนสังคมที่หลงๆลืมๆพวกเขา แม้กระนั้นการเล่าเรื่องกลับเน้นย้ำผ่านสายตาของหนุ่มสาวที่สวมบทบาทเหยื่อของเรื่อง ซึ่งทั้งยังน่าเห็นใจและก็น่าเอาใจช่วยเป็นอย่างมาก พร้อมข้อความสำคัญที่ชักชวนฉุกคิดว่า เพราะเหตุไรถึงจำต้องเอาคืนพวกเขาอย่างหนัก ในเมื่อกรุ๊ปครอบครัวในเรื่องไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับพวกผู้สูงอายุในหมู่บ้านนั้นเลย ที่ตรงนี้ก็น่าดึงดูดเช่นเดียวกันว่าผู้ผลิตตั้งมั่นติดต่ออะไร

เป็นไปได้ทั้งยังว่าคนหนุ่มคนสาวถึงมิได้ทำชั่วกับคนวัยชราแม้กระนั้นเพียงแค่การนิ่งเฉยต่อเคราะห์กรรมของคนวัยแก่ก็จำเป็นจะต้องรับกรรมแล้ว หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นการกล่าวถึงช่องว่างของวัยที่ทำให้รู้เรื่องกันมิได้พลาดท่า ต่างยึดมั่นความถูกต้องแน่ใจของตนทั้งคู่กรุ๊ป แล้วก็พวกวัยรุ่นก็กำลังกลัวที่พวกคนโบราณไม่ปล่อยวางช่วงให้พวกเขารับหน้าที่ขับถัดไป รวมทั้งความหวาดกลัวปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมคนวัยแก่ที่จะมีไม่น้อยเลยทีเดียวขึ้น โดยวัยแรงงานมีน้อยลงแม้กระนั้นจะต้องดำเนินงานแบกรับภาระการดูแลกรุ๊ปคนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น

The Chalk Line ห้ามผ่านเส้น เล่าราวของ เปาล่า กับผัวของคุณ ที่พึ่งจะกลับมาจากดินเนอร์นอกบ้าน ก่อนที่จะมาเจอกับเด็กผู้หญิงระหกระเหินคนหนึ่งเดินไปๆมาๆอยู่ข้างทาง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ พวกเขามีความคิดเห็นว่าเด็กคนนั้นยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ก็เลยได้ตกลงใจพาเด็กมาพักที่บ้านชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อหาทางออกที่เยี่ยมที่สุดให้กับเด็กคนนี้

แต่ว่าโน่นเป็นจุดเปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขาจำต้องเจอหน้ากับเรื่องแปลกที่เหลือเชื่อ ด้วยเหตุว่าเด็กผู้หญิงผู้นี้ชอบหมกมุ่นอยู่กับเรื่องในจิตนาการของตนเอง กล่าวถึงว่าจะมีตัวประหลาดออกมาลงโทษ ถ้าว่าคุณก้าวออกมาจากเส้นสี่เหลี่ยมที่เขียนด้วยชอล์กบนท้องถิ่น พอลล่าก็เลยเริ่มออกค้นหาคำตอบเกี่ยวกับตัวตนอันเป็นปัญหาแล้วก็สมัยก่อนอันน่าขนลุกของคุณ

บทหนังรวมทั้งการเล่าเรื่องของ Mr. Harrigan’s Phone ยังไม่ค่อยสัมผัสเข้าถึงจิตใจผู้ชมได้สักเท่าไหร่ ด้วยความช้าสำหรับการเล่าไปสักนิดสักหน่อย หนังใช้เวลาผ่านไปแทบจะครึ่งเรื่องกว่าจะเบาๆไปสู่เรื่องราว แต่เมื่อไปสู่โครงเรื่องและก็เส้นเรื่องหลักแล้ว หนังก็ยังไม่สามารถขับเสน่ห์ออกมาเจริญรุ่งเรืองซักเท่าไหร่อยู่ดี เนื่องจากเหมือนหนังยังงงงวยว่าจะไปในหนทางแล้วหลังจากนั้นก็โทนที่จะเป็นหนังน่ากลัวหรือหนังวัยรุ่น แม้ว่าจะยังคงบรรยากาศความหลอนไว้อยู่เป็นประจำเวลา ถึงแม้ยังไม่มีซึ่งความน่าสะพรึงกลัว

แน่นอนว่า “เจเดน มาร์เทลล์” ยังคงเป็นดาราภาพยนตร์หนุ่มน้อยเจนใหม่ของวงการที่มีฝีมือการแสดงที่จัดจ้านไม่น้อย แล้วก็เขาก็คือศิลปินที่เล่นแนวดราม่าได้เหมาะกับมือทีเดียว หนังประเด็นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนทางที่ให้เขาได้เปล่งแสง แต่ว่าก็รู้สึกโชคร้ายอีกครั้ง ด้วยเหตุว่าหน้าที่ของเขาที่ได้รับในหนังประเด็นนี้ก็แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากหนังวัยไฮสคูลเรื่องก่อนๆที่เขาเคยถ่ายทอดเอาไว้สักเท่าไหร่

แปลงเป็นว่า เจเดน มาร์เทลล์ ยังค่อนข้างจะติดภาพค้างแรกเตอร์นักเรียนแบบเดิมๆที่ภาพจำกลุ่มนี้แปลงเป็นสิ่งที่เขากำลังอุตสาหะจะสลัดคราบที่เป็นรอยเปื้อนให้ออก แต่ดูท่าจะติดแน่นหนากับตัวเขาไม่น้อย แม้ว่าจะพากเพียรไต่ระดับการเติบโตในติดอยู่แรกเตอร์เยอะมากมายสักเท่าไหร่แล้วก็ตาม ก็พบว่าภาพของเขาก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นอยู่ในขณะเดียวกันก็สามารถเตรียมการอาหารหวานนมเนยไว้แกล้มเสียงหัวเราะ ที่บอกเลยว่ารื่นเริงแน่นอนเนื่องจากว่าผลงานของ SBS คราวนี้มาในแบบคอมเมดี้แม้ว่ายังคงหนักแน่นไปด้วยเนื้อหาของข้อปฏิบัติที่ยังคงความละเอียดน่าติดตามรับรองได้จากสองนักกวีชำนิชำนาญ ชเวซูจิน และ ชเวชางฮวาน ที่เคยสร้างผลงานชิ้นเอกเอาไว้ใน ‘DInnocent Defendant’ (2017) แล้วหลังจากนั้นก็ ‘Heart Surgeons’ (2018)

ทีแรกๆ Fear Street Part One: 1994 ทำให้ผู้ชมเข้าใจว่ามันจะเป็นหนังสยองขวัญในหมวดหนัง “ไล่เชือด” (Slasher) แม้กระนั้นหลังจากดำเนินเรื่องไปไม่ได้นาน หนังก็พร้อมจะกลับความหวังของผู้ชม ด้วยการซ้อนทับเรื่องราวตำนานประจำถิ่นเข้าไป เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับความเร้นลับสยองขวัญของเรื่องให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นกลอุบายสำหรับเพื่อการเชื่อมโยงจักรวาล Fear Street ว่าเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเชดี้ไซด์นั้นอาจจะมีพื้นเพ รากมาตั้งแต่ในอดีตสมัย

อาจจะเรียกได้ว่า Mr. Harrigan’s Phone ไม่ใช่หนังผีหวือหวาสิ้นเปลืองซีนแบบที่เราคุ้นชินกับงานเขียนของ สตีเฟน คิง แม้กระนั้นเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่ปะปนกับเงื่อนดราม่าและทับซ้อนกับทางเชิงจิตวิทยาเบาๆมีลูกเล่นผสมใส่กับความลับและจากนั้นก็ความเดียวดายของความเป็นมนุษย์ ลึกเข้าไปในแก่นความรู้สึกนึกคิดและจิตไม่มีสำนึกของคน ที่บางครั้งก็อาจจะลึกเกินจำเป็นหน่อย อย่างมากกว่าที่ผู้ชมจะซึบดูดดูดซึมและเข้าใจได้แจ้งชัด

ดูหนัง

รีวิวหนัง Mr. Harrigan

หนังยังมีดาราอาวุโสรุ่นใหญ่ “โดนัลด์ ซูทเทอร์แลนด์” มาร่วมสมทบด้วย แน่นอนว่าเขาเป็นมืออาชีพที่ให้การแสดงในลักษณะน้อยแม้กระนั้นมากไม่น้อยเลยทีเดียว การปรากฏตัวของเขาหนังก็ถือว่าเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่เพิ่มความทรงอำนาจให้อยู่ไม่น้อย แม้กระนั้นหน้าที่ของเขาก็แทบจะไม่ได้สะดุดตาอะไรมากแค่ไหน มาแค่เพียงเสริมและจากนั้นก็เป็นสารเริ่มของเรื่องราวทั้งปวงก็เพียงเท่านั้น

บางครั้งอาจจะพูดได้ว่า Mr. Harrigan’s Phone ไม่ใช่หนังผีหวือหวาสิ้นเปลืองซีนแบบที่เราคุ้นชินกับงานเขียนของ สตีเฟน คิง แต่หัวข้อนี้เป็นหนังสยองขวัญที่ปะปนกับเงื่อนดราม่าและทับซ้อนกับหนทางเชิงจิตวิทยาเบาๆมีลูกเล่นผสมใส่กับความลับรวมทั้งความเปล่าเปลี่ยวของความเป็นมนุษย์ ลึกเข้าไปในแก่นความรู้สึกนึกคิดและจิตใต้สำนึกของคน ที่บางครั้งอาจจะลึกเกินจำเป็นหน่อย อย่างยิ่งกว่าที่ผู้ชมจะซึบดูดซึมซับและจากนั้นก็เข้าใจได้แจ่มชัด

เป็นการตีหัวเข้าบ้านตั้งแต่ชื่อกันอย่างยิ่งจริงๆปัจจุบันนี้เราจะแลเห็นเลยว่าประเทศเกาหลีปล่อยถี่ปล่อยเก่งกันเป็นอย่างมากกับซีรีส์ข้อกำหนด ซึ่งแต่ละเรื่องก็ต่างรสถึงแม้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหลายเรื่องเท่าที่ผ่านมาพาเพื่อนเกลอเครียดและปวดตับอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าแต่ละคดีนั้นช่างขมักเขม้น จริงๆเลยคะ ประเด็นนี้ก็เลยกลายเป็นความหวังของกรุ๊ปมวลมนุษยชาติ ว่ารสที่ปรุงออกมาจะเป็นแบบไหน และจากนั้นก็เมื่อทดสอบทดลองและพบว่าช่างเป็นซีรีส์กฎข้อบังคับที่อร่อยบิน กินง่าย ถ่ายกระฉับกระเฉง เพราะปกคลุมโทนของเรื่องทั้งมวลด้วยเสียงเฮพาเพื่อนพ้องจี๋

ตัวนิยายเคยถูกถ่ายทอดเป็นไม่นิซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อเดียวกันในปี 2001 และก็นักแสดงชายเยอะแยะเสน่ห์อย่าง แพตทริก เดมป์ซี (Patrick Dempsey) ร่วมแสดงนำ โดยเป็นการถ่ายทอดแบบเกือบจะถอดบรรทัดต่อบรรทัดออกมาเป็นภาพ จากนั้นนิยายหัวข้อนี้ก็ไม่เคยถูกถือจับมาทำอีก จนกระทั่งเมื่อศิลปินและโปรดิวเซอร์มีชื่ออย่าง กางรต พิตต์ (Brad Pitt)

ได้ร่วมอำนวยการสร้าง โปรเจกต์หนังเรื่องนี้ก็ถูกจับจ้องมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะทำสำเร็จหน้าที่ควบคุมรวมทั้งเขียนบทจากผู้กำกับที่มีผลงานไม่ล้นหลามชิ้นอย่าง แอนดรูว์ โดมินิก (Andrew Dominik) ที่เคยมีผลงานหนังประวัติบุคคลครึ่งเดียวร้อยกรองเรื่อง ‘The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford’ (2007) แล้วก็ ‘Killing Them Softly’ (2012) ตามที

ตกลงว่าโดยสรุปแล้ว Mr. Harrigan’s Phone เป็นหนังดราม่าสะท้อนจิตใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นหนังสยองขวัญ มุ่งมั่นๆหนังก็มีท่าทางในเรื่องราวอยู่ไม่น้อย เพียงแค่ค่อนจะคือปัญหาที่ยากอยู่สักนิดสักหน่อย ถึงแม้ต้องการจะติดต่อออกมาเป็นภาพแล้วหลังจากนั้นก็เสียงให้ผู้ชมได้ทราบเรื่องและก็สัมผัสได้อย่างแท้จริง สไตล์การเล่าเรื่องที่ดูไม่มีคุณลักษณะเด่นและแก่นที่ชัด กลับบั่นทอนหนังไปอย่างโชคร้าย เหตุเพราะสุดท้ายแล้วชั่วโมงเศษๆที่นั่งมองดูมานั้น กลับไม่มีอะไรให้น่านึกออกเลย

ด้วยการเปลี่ยนเรื่องหนักๆให้เบาลงมาได้แบบขำก๊าก ใส่ร้ายป้ายสีไม่มีประโยชน์รวมทั้งเวอร์วังพลังล้นหลามของทนายชอนจีฮุน หากแม้ยังคงความจริงจังในตัวกฎหมาย ยังมีความพลิกแพลงที่เป็นเสน่ห์ โดยไม่ทำให้มีความรู้สึกกว่าความฮาตอนนี้จะก่อให้หลุดไปจากการเป็นซีรีส์กฎข้อบังคับเลยนิดหนึ่งเดียว บวกกับการเล่าหลักสำคัญของแต่ละคดีไปแบบค่อยสบายแม้กระนั้นยังคงความระทึกใจของการค้นหา เผยได้อย่างสนุกสนาน แล้วก็ที่สำคัญมาดกวนๆของนัมกุงมิน ที่นำกรุ๊ปความฮาในตอนนี้ แฟนคลับเฮียไม่นต้องเพ้อรวมทั้งอดขำน้ำลายยืดไปกับเขาไม่ได้จริงๆว่างั้นเหอะ

ระหว่างที่หนังเริ่มโยนความสยองขวัญมาใส่ผู้ชม จำเป็นที่จะต้องยอมรับสารภาพว่าผู้กำกับหญิงอย่างลีห์ จาเนียค แม่นสำหรับในการจับจังหวะในการสร้างความระทึกใจให้กับผู้ชม มิหนำซ้ำเมื่อถึงเวลาที่หนังจำเป็นที่จะต้อง “ฆ่า” ดาราสักคนทิ้ง หนังก็ยังโหดร้ายและใจดำกับผู้ชมแบบไม่สนใจว่าผู้ชมจะก่นด่าแค่ไหนก็ตาม ก็เลยถือได้ว่า Fear Street Part One: 1994

สามารถเปิดตรีภาคนี้ได้อย่างน่าสนใจ แม้กระนั้นบางทีอาจจะต้องพูดว่าการเลือกโดมินิกเป็นการเลือกผู้กำกับได้ถูกฝาถูกตัว ยิ่งเมื่อเห็นความรู้ความเข้าใจในหนังประวัติความเป็นมาของ เจสซี เจมส์ มาแล้ว การเล่าเรื่องผ่านสุนทรียะทางภาพแบบบทกลอนมันช่างไปได้ดีกับนิยายของโอตส์ ที่ดลดลเรื่องราวของมอนโรได้อย่างเข้มข้นเต็มไปด้วยการพินิจถึงจิตวิทยาในเรื่องความเจริญของผู้แสดง

แม้ว่าแทนที่จะเดินเรื่องไปตามตรรกะเบาๆเรียงร้อยก่ออิฐก่อสร้างบ้านให้แลเห็นร่างเด็กหญิงที่ไม่รู้เดียงสานาม นอร์มา จีน เบาๆกลายร่างจากการเช็ดกสาดหลากสีใส่ผ้าใบสีขาวขุ่นไม่สิ้นสุดจนถึงกลายเป็น มาริลิน มอนโร อย่างกับก่อนหน้าที่ผ่านมา โดมินิกกลับจับหัวใจของความหลงอยู่ในวงกตที่ฝัน ดูหนัง ที่ราวกับคนสะลึมสะลือไปด้วยฤทธิ์ยาจนกระทั่งไม่รู้จักว่าอะไรจริงอะไรลวง หรือตัวตนของคุณนั้นเป็นจีนหรือมอนโรกันแน่

รีวิวหนัง “The Curse of Bridge Hollow คำแช่งที่บริดจ์ฮอลโลว์”

สูตรสำเร็จล่าผีบุกเมือง! ถึงคิวอีกหนึ่งหนังที่กับตอนบรรยากาศและก็เทศกาลในเดือนวันปล่อยผีตามขนบประเพณีของทุกๆปี โดยในปีนี้มาพร้อมกับหนังแนวเฮฮาแฟนตาซีที่สนุกสนานหลอนได้ทั้งครอบครัวแบบไม่มีพิษไม่มีภัย แล้วหลังจากนั้นก็นี่ก็คือ “The Curse of Bridge Hollow คำสาปที่บริดจ์ฮอลโลว์” เพียงใบปิดแล้วก็หน้าหนังก็สัมผัสได้ถึงอลหม่านวายปั่นป่วน สไตล์หนังตอนเทศกาลของฝรั่ง แม้ว่าไม่เคยทราบว่าจะกรุ๊ปหรือนายสิบกันแน่เนี่ยหัวข้อนี้

ด้วยวิธีการเล่าที่ตัดภาพกระโจนผ่านไปๆมาๆอย่างกับคนหลับๆตื่นๆใส่ฉากเกินจริงเป็นประจำไปอย่างไม่สอดคล้องเป็นไปในลักษณะเดียวกัน จนกว่าต้องคิดไปว่านี่เป็นความทรงจำจริงๆหรือเพียงหัวใจฝันของเด็กสาวที่มีทั้งยังฝันร้ายแล้วก็สิ่งมุ่งหวังต้องการให้เกิดขึ้นคละจนกระทั่งแยกไม่ออก ซ้ำภาพสีรวมถึงขาวดำยังถูกใช้ขับย้ำทั้งความสวยสดงดงามของภาพและก็สะท้อนห้วงความคิดหนึ่งในแต่ก่อนแสนไกลได้อย่างพอดิบพอดี

มันทำให้การดูหนังเรื่องนี้เราต้องมีทั้งยังสมาธิแล้วหลังจากนั้นก็ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการเสนอพอควร มันอาจไม่ได้อาร์ตจัดจนกระทั่งถีบผู้ชมออกห่าง แต่ก็บางทีอาจจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังดราม่าครื้นเครงเต็มดูดที่ย่อยง่าย ถึงบอกว่าต้องเข้าใจว่ามันใช้กลเม็ดการเล่าที่แปลกสักหน่อย ที่ถ้าหากว่าพยายามไปเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไม่เล่าล้นหลามไปก็บางทีก็อาจจะล้าสมองพอเหมาะพอควร

หนังโรแมนติกคอมมาดี้ ที่ PC (Political Correctness) ตัวเองมาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการย้ำเรื่องสิทธิสตรีผ่านติดอยู่แรกเตอร์ของแอนเดรีย ซึ่งคุณเป็นตัวละครที่มีจุดยืนแน่ชัดในการเป็นเพศเมียยุคใหม่ มีสิทธิในการทางเมือง การพูดมีความคิดเห็น รวมทั้งไม่สนใจเหตุว่าต้องมีผู้ชายสักคนมาเติมเต็มชีวิต The Curse of Bridge Hollow คำสาปที่บริดจ์ฮอลโลว์ เกิดเหตุราวของเด็กสาววัยรุ่นที่บังเอิญปลดปล่อยผีดึกดำบรรพ์ออกมาสู่โลกในเวลานี้ที่กำลังเดินทางไปสู่ตอนเทศกาลวันฮาโลวีน แล้วก็โน่นเป็นจุดเริ่มแรกที่หายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองเล็กๆที่นี้ ที่ทำให้ท่านต้องหาแนวร่วมมาช่วยเหลือ และก็เขาก็คือคนสุดท้ายที่คุณจะคิดถึง ซึ่งก็คือ พ่อของคุณ

ด้านการเล่าเรื่องเองโดมินิกที่เขียนบทเองด้วย ก็สามารถสร้างบทที่น่าสนใจโดยเชื่อมระหว่างบทพูดในช่วงชีวิตจริงให้ไปใส่รับล้อกับบทสนทนาหรือฉากของดาราที่มอนโรแสดงในหนังอีกรอบราวตลกโปกฮาร้าย โดยการเอามาจากฉากในหนังที่มีชื่อของมอนโรทั้งหมด ได้แก่ All About Eve (1950), Don’t Bother to Knock (1952), Niagara (1953), Gentlemen Prefer Blondes (1953), และ Some Like It Hot (1959) อื่นๆอีกมากมาย ใครกันแน่ที่เป็นแฟนของไม่ริลิน มอนโร บางครั้งก็อาจจะยิ่งรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในด้านมุมนี้ไม่น้อยทีเดียว

แต่ว่าเมื่อคุณได้พบกับเดนิส ผู้ชายนักธุรกิจที่ไม่ใช่สเป็คของตัวเองเลยเล็กน้อย แต่ผู้ชายคนนี้กลับมีเคมีรวมทั้งสิ่งที่ทำให้ท่านอยากได้ทำความรู้จักแล้วก็ค้นหาอยู่เป็นประจำเวลา มีอยู่ตอนหนึ่งของหนังที่สะท้อนว่าตัวแอนเดรียเองก็แอบดูถูกดูหมิ่นผู้ชายทีมีลักษณะมองดูเป็น “เนิร์ด” ไม่มีรูปร่างที่ดี หุ่นตุ้ยนุ้ย สวมแว่น ดูบ้างาน หากแม้ช่วงท้ายคุณก็กลับคำพูดรวมทั้งศึกษาค้นพบว่า “ขั้วตรงกันข้าม” ของตัวคุณเอง บางครั้งก็อาจจะเป็นสิ่งที่เติมเต็มให้กับชีวิต

นี่ได้ผลงานของผู้กำกับ “เจฟฟ์ แวดโลว์” ที่เราถูกใจรู้จักดีงานชิ้นก่อนๆของเขาที่ค่อนจะดิบพอใช้ได้ อย่าง Kick-Ass 2 หรือ Truth or Dare แม้กระนั้นมาเวลานี้ถือว่าเขาปรับโหมดตัวเองระดับที่ถือว่าสูง เนื่องจากเปลี่ยนเป้าหมายมาทำหนังสยองขวัญแฟนตาซีที่ค่อนข้างจะใสๆปลอดภัย Miss Grand International 2022 เป็นหนังฮาโลวีนที่เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จตามมาตรฐานของหนังงแนวนี้ ที่เราเคยได้มองดูมาก่อนตลอด 20-30 ปีให้หลัง

บทหนังของ The Curse of Bridge Hollow ก็ไม่ได้มีกลเม็ดเด็ดพรายอะไร เนื่องมาจากทุกๆอย่างเป็นสูตรสำเร็จพื้นๆที่ถือเอามาเล่าใหม่ เช่นเดียวกันกับเป็นการจับจากเรื่องนั้นเรื่องนี้มายำรวมเข้าเอาไว้ในเรื่องเดียวกัน ufa666win โดยถือเอาภูติผีปีศาจในตำนานต่างๆที่เคยรู้จักมาปลุกเสกให้ผู้ชีวิตแบบหวัดๆโดยใช้บรรทัดฐานของหนังครอบครัวเป็นหลัก ออกมาเป็นหนังที่ดูได้ฆ่า